วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2552

Today is Autmnal Equinox day! สวัสดีวันศารทวิษุวัต!

วิษุวัตหรืออิควินอกซ์

วันนี้เป็นวันที่พระอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันออก ใช้เวลา12ชั่วโมงเหนือเส้นขอบฟ้า และตกทางทิศตะวันตก และ หลังจากวันนี้ พระอาทิตย์จะเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตก เวลาในช่วงกลางคืนจะมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นการย่างเข้าฤดูหนาวนั้นเอง

วิษุวัตหรืออิควินอกซ์ เกิดขึ้นสองครั้งต่อปี เมื่อแกนเอียงของโลกขนานกับดวงอาทิตย์ พระอาทิตย์จะอยู่เหนือเส้นศูนย์สูตรพอดี โดยในปี2552 ศารทวิษุวัติ(เข้าฤดูใบไม้ร่วง หรือฤดูหนาวของไทย) จะเกิดขึ้นในวันที่22กันยายน ส่วน วสันตวิษุวัต(เข้าฤดูใบไม้ผลิ หรือฤดูร้อนของไทย) เกิดขึ้นไปแล้วในวันที่20มีนาคม

การที่โลกมีฤดูได้นั้นก็เพราะว่าแกนที่โลกหมุนนั้นเอียงทำมุมอยู่กับดวงอาทิตย์ประมาณ 23.44องศาจากระนาบโคจร  ด้วยเหตุนี้ ครึ่งปีแรก แกนขั้วโลกเหนือจะเบนตัวเข้าหาพระอาทิตย์ และเอียงเข้ามากที่สุดในวันที่21มิถุนายน เรียกว่าวันครีษมายัน (Summer solstice) และครึ่งปีหลังแกนขั้วโลกใต้ก็จะเบนตัวข้าไปหาดวงอาทิตย์แทนโดยจะเอียงเข้ามากที่สุดในวันที่21 ธันวาคม เรียกว่าวันเหมายัน (Winter soltice)
ฉะนั้นเราก็จะมีเวลาอยู่สองช่วงที่พระอาทิตย์อยู่เหนือเส้นศูนย์สูตรพอดี และนั่นเองเป็นที่มาของวันวิษุวัต หรืออิควินอกซ์ทั้งสองวัน

รูปแบบข้างบนนี้เป็นรูปที่เรียกว่า analema ได้มาโดยการถ่ายรูปพระอาทิตย์ในจุดเดียวกันและเวลาเดียวกันในแต่ล่ะวันของปี จะเห็นว่าพระอาทิตย์ไม่ได้อยู่ที่เดียวกันทุกวัน แต่เคลื่อนที่ไปในแต่ล่ะฤดูกาล

Analema เหนือประเทศอังกฤษ ดูคำอธิบายเพิ่มเติมได้ที่ Analemma

วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2552

ใครๆก็อยากไป ISS : ESA จะเริ่มออกแบบ ATV ไป ISS อาจดึง ญี่ปุ่นและรัสเซียเข้ามามีเอี่ยวด้วย

Credit :http://www.spacenews.com/civil/esa-designing-docking-mechanism-for-space-station.html

ESA ได้เริ่มออกแบบ International Berting and Docking Mechanism (IBDM) ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากสัญญาความร่วมมือกับนาซ่าในเรื่องของการขนส่งอวกาศ ทั้งสองทำสัญญาร่วมกันโดยมีจุดมุ่งหมายว่าทั้งสองจะออกแบบจรวดและเครื่องมือที่ใช้ ให้มีคุณลักษณะที่ใ้ช้รวมกันได้ เพื่อที่จะลดค่าใช้จ่ายรายปีของสถานีอวกาศนานาชาติ เพราะว่าเป็นที่ลงความเห็นร่วมกันว่า สถานีอวกาศนานาชาตินั้นจะอยู่ต่อไปอย่างน้อยจนถึงปี 2020 ผู้เข้าร่วมโครงการทั้งหลายก็เลยมารวมหัวกันคิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะลดค่าใช้จ่ายลงได้ และนอกเหนือจากนั้น โครงการระยะยาวในอนาคตที่จะไปสู่ดวงจันทร์และดาวอังคาร ที่จะเป็นโครงการระดับนานาชาตินั้น ก็จำเป็นจะต้องใช้มาตรการเช่นนี้เหมือนกัน อุปรณ์ต่างๆที่ออกแบบขึ้นมาจึงต้องนำมาใช้ร่วมกันได้ เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของผู้ร่วมโครงการ

ATV ที่ ESA จะสร้างขึ้นนี้จะถูกส่งขึ้นไปโดย Atlas5 หรือ Delta4 หรือว่า Arain5 ของยุโรปเอง  NASA Deputy Administrator Lori Garver กล่าวว่า "เราก็ยังหวังจะพึ่งภาคธุรกิจในการให้บริการนี้(การ resupply) แต่มันก็ดีอย่างยิ่งที่เราจะมีความร่วมมือจากชาติอื่นมาช่วยเหลือด้วย" แต่ Garver ก็ยังพูดอีกว่า "NASA ยังไม่มีแผนที่จะส่ง ATV ของชาติอื่นบนจรวดของอเมริกา มันมีโอกาสอยู่บ้างหรอกนะ เพราะยังไงเขาก็เป็นผู้ร่วมงาน แต่ถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีแผนอะไรแน่นอน" 


Jean-Yves Le Gall, chief executive of Europe’s Arianespace launch consortium กล่าวว่า  ESA เสนอให้ NASA ใช้ ATV ของพวกเขาเพื่อเติมเต็มช่องว่างแบบชั่วคราว ขณะที่จรวดใหม่ของอเมริกายังอยู่ในช่วงทดสอบในช่วงปี 2010 ถึง 2015 (จรวดจากบริษัทเอกชนอเมริกา Orbital science Corp. และ Space Exploration Technology Corp) เพราะว่าได้คำนวณออกมาแล้วว่า NASAไม่สามารถส่งของได้เพียงพอกับความต้องการ จะขาดไปประมาณ 3,000-12,000 กิโลกรัมต่อปี ในช่วงเวลาดังกล่าว

วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2552

อนาคตของนาซ่า ในกำมือของโอบามา จะอยู่ใกล้โลกต่อไป หรือออกสำรวจอวกาศ

อนาคตของนาซ่า ในกำมือของโอบามา
Credit : http://www.spacenews.com/policy/white-house-handed-options-future.html

"เพิ่มงบให้นาซ่าหรือจะอยู่ภายใต่วงโคจรระดับต่ำไปอีกยุค"  คือสาระสำคัญของทางเลือกที่ประธานาธิบดีสหัฐ บารัก โอบามา จะต้องเลือกให้อนาคตของนาซ่า

นอแมน ออกัสติน (Norman Augustine) หัวหน้าฝ่ายบริหารของ บริษัท ล็อกฮีดมาติน ได้เสนอทางเลือกห้าทางเพื่อเป็นตัวเลือกให้แก่อนาคตของนาซ่า  จากทั้งหมด มีสามข้อที่จะมีภารกิจที่ออกไปสู่วงโคจรที่สูงกว่าวงโคจรระดับต่ำภายในอีก 20ปีข้างหน้า ทั้งสามข้อนี้มีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มงบอย่างเป็นนัยสำคัญให้แกนาซ่าในช่วงห้าปีข้างหน้า

แม้ว่า ออกัสติน จะยื่นข้อเสนอสองข้อที่อยู่ในงบประมาณตามแผนที่โอบามาได้ตั้งไว้ก่อนหน้านี้คือ 18.6 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ แผนทั้งสองนี้จะไม่มีการนำนักบินอวกาศของนาซ่าออกไปสูงกว่าวงโคจรระดับต่ำของโลกภายในระยะเวลา20ปี

แผนแรกที่อยู่ภายในงบประมาณปัจจุบัน มีชื่อเรียกว่า "แผนงบประมาณจำกัด" นาซ่าจะทำการปลดระวางสถานีอวกาศนานาชาติ (international space staion, ISS) ในปี 2016 ทำการบินจรวด Ares1 และ พาหนะขนส่งลูกเรือโอไรออน ( Orion Crew Exploration) ในปีถัดไป และเลื่อน จรวดแรงขับสูง Ares 5 ที่มีความสำคัญต่อภารกิจสู่ดวงจันทร์ของนาซ่า สู่ระดับการพัฒนาที่ช้ากว่า ภายใต้แผนนี้ รายงานกล่าวว่า " Ares 5 จะไม่พร้อมไปจนถึงปี 2020 และที่แย่กว่านั้น มันยังไม่มีงบพอที่จะพัฒนา ส่วนลงจอดบนดวงจันทร์และระบบที่จะใช้บนดวงจันทร์ก่อนปี 2030 ถ้ามันจะมีล่ะก็นะ"

Ares1
อีกแผนนึงที่อยู่ภายใต้งบก็คือ ยกเลิกจรวด Ares1 สร้างจรวดที่มีความสามารถต่ำกว่า Ares5 และคง ISS ไว้จนถึงปี 2020  โดยพึ่งกระสวยอวกาศภาคธุรกิจที่ริเริ่มโดยนาซ่า (จ้างจรวดของชาวบ้านว่างั้น)  จรวดรุ่นใหม่  Ares5 lite จะเข้าประจำการในช่วงท้ายของปี 2020 แต่จะไม่มีอะไรจะส่งขึ้นไป

อีกสามข้อที่เหลือ จำเป็นจะต้องเพิ่มงบขึ้นไปถึง 22พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2014 ตามด้วยการเพิ่มงบขึ้นปีล่ะ 2.4เปอร์เซ็นต่อปี

AresV
ทางเลือกที่สาม คือ ขอเพิ่มงบและสร้าง Ares1 และ Orion ให้เสร็จ แม้ว่าจะช้ากว่ากำหนดปัจจุบันในปี 2015ไปสองปี และสร้าง Ares5ให้ทันที่จะส่งมนุษย์ไปดวงจันทร์ในกลางปี 2020 อย่างไรก็ตาม แผนนี้รวมถึงต้องปลดประจำการ ISS ในปี 2016 ห้าปีหลังจากเสร็จสิ้นการประกอบโครงการราคา แสนล้านดอลลาร์ ที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 1984 และเอาเงินที่ใช้บำรุงรายปีสามพันล้านดอลลาร์นี้ไปใช้สร้างจรวดและเครื่องมือต่างๆแทน ซึ่งเป็นทางเลือกที่ไม่น่าสนใจเท่าไหร่เลย ผู้เชี่ยวชาญทางด้านนโยบายอวกาศกล่าว

  "เพราะว่าโอบามาอยากจะเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในด้านอวกาศ และการปลดประจำการ ISS เร็วเกินกำหนดนั้นทำให้เรื่องมันยากขึ้นมาก ประเทศสมาชิกที่เข้าร่วมอยู่ตอนนี้จะไม่ชอบใจแน่ๆ" แผนส่วนมากให้5ข้อที่เสนอมาจึงเสนอให้เก็บ ISS ไว้จนถึงปี 2020และยกเลิก Ares1 เพื่อที่จะพึ่งพาจรวดภาคธุรกิจที่นาซ่าเป็นคนส่งเสริมการพัฒนาแทน

ทางเลือกที่สี่มุ่งความสนใจไปที่ดวงจันทร์ โดยเก็บกระสวยอวกาศไว้จนถึงปี 2015 และสร้าง จรวดแรงยกสูงจากชิ้นส่วนของกระสวยอวกาศ ชื่อว่า Ares5 lite ซึ่งมีความสามารถต่ำกว่า Ares5ที่ตั้งไว้ตอนแรก แผน "Moon first" นี้จะปลดประจำการกระสวยอวกาศในปี 2011

ทางเลือกที่ห้า คือหากนาซ่าเลิกมุ่งไปที่ดวงจันทร์และมองไปที่ ดาวหางใกล้โลก จุดสมดุลย์ลากราง หรือการบินสำรวจดาวอังคาร แทน แผนนี่มีชื่อว่า "Flexible path" ซึ่งจะสร้าง Ares5 lite และเพิ่มงบ จรวด Atlas 5 และ Delta4 ที่พัฒนาโดย กองทัพอากาศสหรัฐ แทน

อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าววงในของโอบามากล่าวว่า โอบามาชอบแนวคิดที่จะจ้างคนภายนอกมาดูแลระบบในระดับวงโคจรต่ำ แม้ว่ามันจะมีความเสี่ยงอยู่บ้างก็ตาม ขณะนี้เรากำลังพิจารณาอยู่ว่าความเสี่ยงนั้นยอมรับได้หรือไม่

ดูเหมือนว่าธุรกิจเกี่ยวกับอวกาศ จะออกแนวความร่วมมือระหว่างนานาชาติมากขึ้น เอกชนก็มีโอกาศมากขึ้น การท่องเที่ยวอวกาศก็ดูดีมีความหวัง ยักษ์ใหญ่ต้องลดอีโก้แล้วลงมาขอความร่วมมือกับชาวบ้านซะแล้ว คนเหยีบดวงจันท์คนต่อไป อาจจะไม่ได้พูดภาษาอังกฤษก็ได้!

นิบิรุและวันสิ้นโลกปปี 2012 : ข้อชี้แจง และอธิบาย

นิบิรุ และวันสิ้นโลก 2012 : คำถามและคำตอบ

ลิงค์ต้นฉบับ Ask an astrobiologist แปลโดย ธาวันอุทัยเจริญพงษ์
ผมได้เห็นผู้คนในอินเตอร์เน็ตมากมายถามเกี่ยวกับวันสิ้นโลกปี 2012 โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้า planet X ก็เลยไปหาข้อมูลดู ปรากฏว่าเจอเว็บนี้ซึ่งอธิบายดีมากเกี่ยวกับทฤษฏีวันสิ้นโลกต่างๆ ในเว็บเค้ามี 20ข้อ แต่มีเพียง 9ข้อแรกเท่านั้นที่เก็บกับ PlanetX หรือนิบิรุที่เป็นหัวข้อ เลยแปลมาเท่านั้นน่ะครับ เรื่องอื่นๆเกี่ยวกับวันสิ้นโลกนั้นผมได้แปลไว้ก่อนหน้านี้แล้ว


เรื่องราวเกี่ยวกับดาวเคราะห์นิบิรุที่อุปโลกษ์ขึ้นมาและคำทำนายเกี่ยวกับวันสิ้นโลก ในปี 2012 ผุดขึ้นมาเป็นจำนวนมากบนอินเตอร์เน็ต ขณะนี้( มิถุนายน 2009) มีหนังสือ 175เล่มในเว็บไซท์  Amazon.com ที่เกี่ยวข้องกับ วันสิ้นโลก 2012
ขณะที่เรื่องหลอกลวงนี้แพร่กระจายออกไป มีฉากความหายนะอีกหลากหลายแบบ ก็ผุดขึ้นมาด้วย "ถามนักโหราศาสตร์-ชีววิทยา(Ask an Astrobiology)" (เป็นเว็บที่บทความนี้ไปคัดลอก และแปลมา)  ได้รับคำถามเกือบๆพันคำถามกี่ยวกับ นิบิรุ และ 2012 ด้วยมากกว่า 200 คำตอบได้เผยแพร่ มีคำถามใหม่ๆที่คลายคลึงกับที่ได้ตอบไปแล้ว ต่อไปนี้เป็นคำถามที่เป็นที่นิยมมากที่สุด 20 คำถาม เรียบเรียงตามลำดับเหตุผล.
เพิ่มเติมจากความคิดเห็นของผม มีแหล่งข้อมูลที่มีประโยชน์อีกมาก
- Neil de Grassse Tyson ได้โพสคลิปวิดีโอดีๆ เกี่ยวกับ นิบิรุ 2012 ( http://fora.tv/2009/02/04/Neil_deGrasse_Tyson_Pluto_Files#Neil_deGrasse_Tyson_World_Will_Not_End_in_http://fora.tv/2009/02/04/Neil_deGrasse_Tyson_Pluto_Files#Neil_deGrasse_Tyson_World_Will_Not_End_in_2012)
- วิกิพีเดียมีบทความที่เกี่ยวข้องมากมาย, เริ่มจาก Nibiru colision, Nibiru Mythology และ Nibiru Sitchin และ 2012 doomsday prediction.
- รายละเอียดการกำเนิดของ ดาวเคราะห์ เอ็กซ์/นิบิรุ หาได้เพิ่มเติมจากการพิจารณาโดย Phil Plait  ในเว็บไซท์ Badastronomy
เดวิด มอริสัน
นักวิทยาศาสตร์ อาวุโส NAI ( NAI Senoir Scientist)
1 มิถุนายน 2009
1.) อะไรคือจุดเริ่มต้นของคำทำนายว่าโลกจะสิ้นสุดในเดือนธันวาคม 2012?

   เรื่องราวเริ่มขึ้นจากการกล่าวอ้างว่า นิบิรุ ดาวเคราะท์ที่เชื่อกันทั่วไปว่าค้นผบโดยชาวสุเมเรี่ยน กำลังพุ่งมายังโลก Zecharia Sitchin ผู้ที่เขียนนิยายเกี่ยวกับอารยธรรมของชาวเมโสโปเตเมียในยุคโบราณ แห่ง ซูเมอ  ได้อ้างในหนังสือหลายเล่ม(ตัวอย่างเช่น The Twelfth Planet, published in 1976) ว่า เขาได้พบและแปลเอกสารของชาวสุเมเรี่ยน ที่ได้ชี้ให้เห็นถึงดาวเคราะห์นิบิรุ โคจรรอบดวงอาทิตย์ทุกๆ 3600ปี
   นิทานชาดกของชาวสุเมเรียนได้รวมถึงเรื่องราวของ นักบินอวกาศยุคโบราณ มาเยือนโลกจากอารยธรรมของมนุษต่างดาวที่เรียกว่า อนันนากิ (Anunnaki) จากนั้น Nancy Lieder ผู้ที่กล่าวอ้างตัวเองว่าเป็นผู้มีพลังจิต และได้มีการติดต่อกับเอเลี่ยน เขียนลงบนเว็บไซท์ของเธอZetatalk ว่า เอเลี่ยนที่อาศัยอยู่บนดาวเคราะห์ที่อุปโลกน์ขึ้น แถวๆดาว Zeta Reticuli ได้เตือนเธอว่าโลกจะมีอันตรายจากดาวเคราะห์เอ็กซ์ หรือ นิบิรุ  ความหายนะนี้เดิมได้ทำนายว่าจะเกิดขึ้นเมื่อ พฤษภาคม 2003 และเมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้น วันสิ้นโลกได้เลื่อนไปเป็นเดือนธันวาคม 2012
เมื่อไม่นานมานี้เท่านั้นที่เรื่องที่แต่งขึ้นทั้งสองเรื่องนี้เชื่อมโยงถึงปฏิทินที่มีมายาวนานของชาวมายันได้สิ้นสุดลงที่วันที่ดวงอาทิตย์อยู่ไกลจากโลกมากที่สุดของปี 2012  ดังนี้เองวันสิ้นโลกจึงถูกทำนายว่าจะเกิดขึ้นในวันที่ 21 ธันวาคม 2012
2. อารยธรรมของชาวสุเมเรี่ยนเป็นอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ครั้งแรก และพวกเขาได้ทำนายปรากฏการดาราศาสตร์อย่างแม่นยำหลายครั้ง รวมถึงการมีอยู่ของดาวมฤตยู( Uranus) ดาวเกตุ( Neptune) และดาวพลูโต(Pluto) ดังนั้นทำไมเราถึงไม่เชื่อคำทำนายของพวกเขาเกี่ยวกับนิบิรุ?

   นิบิรุ เป็นชื่อที่นักดาราศาสตร์ชาวบาบิโลเนี่ยน ใช้เกี่ยวโยงถึงพระเจ้ามาดัก( God Marduk)เป็นบางครั้ง นิบิรุปรากฏเป็นพระรองในกลอนประดิษฐ์( Creation poem) Enuma Elish ที่บันทึกไว้ในห้องสมุดแห่ง Assurbanipal กษัตร์แห่งอัซซีเรีย ( 668-627 BCE) หากแต่ซูเมอร์(ชาวสุเมเรี่ยน)ได้มีการขยายอำนาจเร็วกว่านั้นมาก ประมาณ 23-17 BCE
คำกล่าวอ้างที่ว่านิบิรุนั้นเป็นดาวเคราะห์และได้ค้นพบโดยชาวสุเมเรี่ยนนั้นได้รับการโต้แย้งจากผู้ที่ศึกษาและแปลบันทึกที่เขียนไว้แห่ง เมโสโปเตเมียโบราณ (ไม่เหมือนกับนักพลังจิต Zecharia Sitchin) ซูเมอร์นั้เป็นอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่จริง มีความพัฒนาอย่างมากในเรื่องของการเกษตร การจัดการน้ำ การใช้ชีวิต และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเขียน อย่างไรก็ตาม พวกเขามีการบันทึกที่เกี่ยวกับดาศาสตร์ไว้น้อยมาก แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้รู้เกี่ยวกับการมีอยู่ของ Uranus, Neptune และ Pluto  พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ดาวเคราะห์โคจรรอบดวงอาทิตย์ ซึ่งนั่นเป็นความรู้ที่มีขึ้นในกรีกโบราณสองทศวรรษถัดมา  หลังจากการล่มสลายของอารยธรรมซูเมอร์   การกล่าวอ้างว่าชาวสุเมเรี่ยนมีความรู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับดาราศาสตร์ หรือว่าพวกเขามีพระเจ้าที่ชื่อว่านิบิรุนั้น ล้วนแต่เป็นผลพวงจากจินตาการของ นักพลังจิต Zecharia Sitchin.
3.) คุณจะปฏิเสธการมีอยู่ของนิบิรุได้อย่างไรในเมื่อมันถูกค้นพบในปี 1983 และเรื่องราวของมันได้ถูกตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ชั้นแนวหน้า? ในเวลานั้นมันถูกเรียกว่า ดาวเคราะห์เอ็กซ์ และหลังจากนั้นมันได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น เซนะ( Xena) หรือ เอริส( Eris)

   IRAS ( กล้องโทรทัศน์อินฟราเรดในอวกาศของนาซ่า ที่สำรวจท้องฟ้าเป็นเวลาสิบเดือนในปี 1983) ได้ค้นพบแหล่งอินฟราเรดมากมาย แต่ทั้งหมดนั้นไม่ใช่ นิบิรุ หรือดาวเคราะห์เอ็กซ์ หรือวัตถุใดๆก็ตามในระบบสุริยะส่วนนอก มีการวิจารณ์ดีๆเกี่ยวกับเรื่องนี้จาก Caltech  สามารถอ่านได้ที่  (spider.ipac.caltech.edu/staff/tchester/iras/no_tenth_planet_yet.html) โดยย่อ IRAS ได้บันทึกแหล่งอินฟราเรด 350,000 รายการ และโดยเริ่มต้นแล้วส่วนมากเป็นสิ่งที่ไม่เคยถูกระบุตัวตนมาก่อน (unidentified) (แน่นอน มันเป็นจุดประสงค์แต่เริ่มต้นอยู่แล้ว ในการทำการสำรวจครั้งนี้) การสำรจทั้งหมดนี้ได้รับการตรวจสอบซ้ำโดยอุปกรณ์ที่มีพลังมากกว่า ทั้งจากพื้นและอวกาศ  ข่าวลือเกี่ยวกับ" ดาวเคราะห์ดวงที่สิบ" ประทุขึ้นในปี 1984 หลังจาก เอกสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ตีพิมพ์ในวารสารฟิสิกส์ดาราศาสตร์ มีหัวข้อว่า "แหล่งกำเนิดที่ไม่ได้รับการระบุ จากการสำรวจย่อยของ IRAS"(“Unidentified point sources in the IRAS minisurvey”)  ซึ่งกล่าวถึงแหล่งกำเนิดอินฟราเรดหลายแหล่งที่"ไม่เคยพบเห็นมาก่อน" แต่ "วัตถุลึกลับ"เหล่านี้ปรากฏว่าเป็น กาแลกซี่ที่อยู่ไกลโพ้นนั้นเอง จากที่มีการตีพิมพ์ในปี 1987 แหล่งอินฟราเรดที่ได้ค้นพบโดยIRAS นั้นไม่เคยถูกพบว่าเป็นดาวเคราะห์แต่อย่างใด บทวิจารณ์ดีๆเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้สามารถหาได้ที่เว็บไซต์ของ Phil Plait (www.badastronomy.com/bad/misc/planetx/science.html#iras) 

ข้อสรุปนั้นก็คือ นิบิรุเป็นเพียงเรื่องแต่งขึ้น โดยไม่อยู่บนหลักความจริง สำหรับนักดาราศาสตร์ การโต้แย้งอย่างดึงดันเกี่ยวกับดาวเคราะห์ที่อยู่"ใกล้ๆ"แต่ "มองไม่เห็น"นั้น เป็นเพียงเรื่องงี่เง่าๆเท่านั้น
4.) หรือว่าเราควรถามถึงดาวเคราะห์เอ็กซ์หรือเอริส ไม่ใช่นิบิรุ และทำไมต้องเก็บวงโคจรของเอริสไว้เป็นความลับด้วย?

   "ดาวเคราะห์เอ็กซ์" นั้นเป็นถ้อยคำที่ขัดกนเมื่อถูกใช้กับวัตถุมีจริง  คำนี้ถูกใช้โดยนักดาราศาสตร์มาเป็นทศววรรษแล้ว สำหรับสิ่งที่คาดว่าหรืออาจเป็นไปได้ว่าอาจะเป็นวัตถุ  เมื่อวัตถุนั้นได้มีการค้นพบแล้ว มันจะถูกตั้งชื่อที่แท้จริงให้ อย่างที่เคยเป็นกับพลูโตและเอริส ซึ่งบางครั้งก็ยังถูกเรียกว่าดาวเคราะห์เอ็กซ์อยู่ ถ้าหากวัตถุใหม่ปรากฏว่าไม่ได้เป็นวัตถุจริง หรือว่าไม่ใช่ดาวเคราะห์ คุณก็จะไม่ได้ยินเรื่องเกี่ยวกับมันอีก ถ้าหากมันเป็นจริง มันก็จะไม่ถูกเรียกว่าดาวเคราะห์เอ็กซ์
เอริสเป็นหนึ่งในดาวเคราะห์แคระหลายๆดวงในระบบสุริยะชั้นนอกที่ถูกค้นพบเร็วๆนี้โดยนักดาราศาสตร์  ทั้งหมดนั้นอยู่บนวงโคจรธรรมดาๆที่จะไม่เคยนำมันมาเข้าใกล้โลก  เช่นเดียวกับพลูโตเอริสนั้นมีขนาดเล็กกว่าพระจันทร์ของเรา และก็อยู่ไกลมากๆ และวงโคจรของมันก็ไม่เคยนำมันมาใกล้โลกมากกว่า สี่พันล้านไมล์ และมันก็ไม่มีความลับเกี่ยวกับเอริสและวงโคจรของมัน โดยคุณก็สามารถตรวจสอบได้ง่ายๆโดยใช้กูเกิล หรือวิกิพีเดีย
5. คุณจะปฏิเสธหรือว่ามีการสร้างกล้องโทรทัศน์ที่ขั้วโลกใต้เพื่อเอาไว้จับตามองนิบิรุ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วทำไมถึงจะไปสร้างกล้องโทรทัศน์ที่ขั้วโลกใต้?

   มีกล้องโทรทัศน์อยู่ที่ขั้วโลกใต้จริง แต่มันไม่ได้สร้างโดยนาซ่า และไม่ได้ถูกใช้เพื่อศึกษานิบิรุ กล้องโทรทัศน์ที่ขั้วโลกได้ได้รับการสนับสนุนโดย National Science Foundation และมันเป็นกล้องโทรทัศน์วิทยุ(Radio telescope, ใช้คลื่นวิทยุเพื่อศึกษาดาราศาสตร์) ไม่ใช่อุปกรณ์ทางแสง(optical instrument)   มันไม่สามารถถ่ายภาพได้ ไม่เชื่อก็ลองไปหาดูในวิกิพีเดียได้ ขั้วโลกใต้เป็นที่ๆดีมากสำหรับการสำรวจโดยอินฟราเรดและวิทยุคลื่นสั้น และมันยังมีข้อได้เปรียบคือสามารถตรวจสอบวัตถุใดๆได้อย่างต่อเนื่อง โดยปราศจากการรบกวนของกลางวัน-กลางคืน
   ผมยังต้องการที่จะกล่าวเพิ่มเติมว่า มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะจินตนาการว่า จะมีวัตถุใดๆที่สามารถมองเห็นได้ขั้วโลกใต้เท่านั้น ถึงแม้ว่ามันจะเคลื่อนที่เข้าขั้วโลกใต้ มันก็จะสามารถมองเห็นได้จากซีกโลกใต้ทั้งหมด
6.) มีภายถ่ายและวิดีโอมากมายเกี่ยวกับนิบิรุยนอินเตอร์เน็ต  นั้นเป็นหลักฐานไม่ใช่รึ ว่ามันมีอยู่จริง?

   ภาพถ่ายและวิดีโอส่วนมากบนอินเตอร์เน็ตล้วนแต่เป็นโครงร้างอะไรสักอย่างที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ (ซึ่งสอดคล้องกับคำกล่าวอ้างว่านิบิรุนั้นซ่อนอยู่หลังพระอาทิตย์ในหลายปีที่ผ่านมา) นี่เป็นภาพปลอมของดวงอาทิตย์ที่เกิดจากการหักเหภายในเลนส์ เป็นที่รู้จักในชื่อ Lens flare คุณสามารถตรวจสอบพวกมันได้ง่ายๆโดยข้อเท็จจริงที่ว่าภายเหล่านั้นเกิดในด้านตรงข้ามกับภาพของดวงอาทิตย์เสมอ และดูเหมือนว่ามันสะท้อนผ่านกึ่งกลางของรูป มีวิดีโออันนึงที่เห็นได้อย่างชัดเจน ที่เมื่อกล้องขยับ ภาพลวงนั้นก็เคลื่อนที่ในทิศตรงข้ามกับภาพจริงอย่างสม่ำเสมอ ปรากฏการณ์ lens flare นี้ยังเป็นแหล่งภาพของ UFO มากมายที่ถ่ายตอนกลางคืนและมีแหล่งกำเนิดแสงจ้าเช่นไฟถนนอยู่ในรูปถ่าย  ผมประหลาดใจว่าผู้คนส่วนมากไม่รับรู้ถึงปรากฏการณ์นี้  ผมยังประหลาดใจอีกเมื่อพบว่าภาพเหล่านี้ที่แสดงให้เห็นถึงอะไรซักอย่างที่ใหญและสว่างพอๆกับพระอาทิตย์นั้ เป็นที่ยอมรับร่วมกับการกล่าวอ้างจากแหล่งข้อมูลเดียวกันว่านิบิรุนั้นมืดเกินไปที่จะถ่ายรูปเว้นแต่ว่าจะใช่กล้องโทรทัศน์ใหญ่ๆ
   รูปถ่ายที่มีการพูดถึงมากที่สุดรูปหนึ่ง (www.greatdreams.com/nibiru-possible.jpg) แสดงให้เห็นรูปของกลุ่มแก็ซที่กำลังขยายตัวไกลออกไปจากระบบสุริยะ ที่ไม่เคลื่อนไหว คุณสามารถสังเกตุได้ว่าที่จริงแล้วดาวนั้นเป็นดาวดวงเดียวกันในรูปทั้งสอง  ผู้อานตาคคมคนหนึ่งจากเว็บไซท์นั้นระบุว่ารูปนี้เป็นรูปถ่ายจากกลุ่มแก็ซรอบดาว V838 Mon วิกิพี่เดียมีบทความดีๆและภาพสวยๆของดาวดวงนี้จากฮับเบิ้ลเด็กม.ปลายคนนึงประทับใจมากกับรูปจุดสีแดงที่โพสในเว็บนั้น ที่อ้างว่าเป็นรูปของนิบิรุ จากนั้นเขาทดลองใน โปรแกรมโฟโต้ชอป เกี่ยวกับว่าจะสร้างรูปแบบเดียวกันนั้นได้อย่างไร เริ่มต้นจากไม่มีอะไรเลย
วิดีโออันหนึ่งที่โพสในปี2008ในยูทูป (www.youtube.com/watch?v=qDKtkWIx00www.youtube.com/watch?v=qDKtkWIx00A

  เป็นชายคนหนึ่งซึ่งอ้างว่าวัตถุที่ถูกตรวจพบโดยภาพถ่ายเอ็กซ์เรย์จากนาซ่า คือนิบิรุ หลักฐานของเขานะหรือ? เพราะว่าภาพถ่ายสีหลอก(กำหนดสีขึ้นเองจากข้อมูลที่ถ่ายได้มาเพราะจริงๆแล้วเราไม่สามารถเห็นรังสีเอ็กซ์ได้ ภาพที่ได้จึงเรียกว่าภาพถ่ายสีหลอก, False-color image-ผู้แปล) ที่ปล่อยออกมาโดยนาซ่าเป็นสีฟ้า แสดงว่านั้นเป็นดวาเคราะห์ใกล้โลกที่มีมหาสมุทรอยู่แน่ๆ นี่มันน่าตลกสิ้นดี ถ้าหากว่ามันไม่ได้ใช่เพื่อทำให้ชาวบ้านตื่นกลัว
7.คุณสามารถอธิบายได้หรือไม่ว่า เป็นข้อเท็จจริงที่พื้นที่ ที่ (5h 53m 27s, -6 10 58)  นั้นโดนถมดำใน google sky และ microsoft Telescope? คนทั่วไปกล่าวว่าพื้นที่นี้โดนถมดำเพราะว่านั่นเป็นพิกัดของตำแหน่งดาวนิบิรุในขณะนี้

   ผู้คนจำนวนมากถามผมเกี่ยวกับสี่เหลี่ยมสีดำที่โอไรออน(กลุ่มดาวโอไรออน-ผู้แปล) ใน google sky ซึ่งเป็นการแสดงภาพถ่ายจากการสำรวจของ Sloan Digital นี่ไม่สามารถเป็นที่หลบซ่อนของนิบิรุได้ เพราะว่ามันเป็นส่วนของท้องฟ้าที่สามารถมองเห็นได้จากเกือบทุกส่วนของโลก ในฤดูหนาวของปี 2007-2008 ซึ่งเป็นเวลาที่เรื่องราวของนิบิรุเริ่มต้นขึ้น มันยังขัดแย้งกับคำอ้างว่านิบิรุนั้นซ่อนอยู่ข้างหลังพระอาทิตย์ หรือว่ามันสามารถมองเห็นได้จากซีกโลกใต้เท่านั้น
แต่ ผมเองก็สงสัยเกี่ยวกับสีเหลี่ยมสีดำนี้ ผมเลยไปถามเพื่อนที่เป็นนักวิทยาศาสตร์อาวุโสที่กูเกิ้ล เขาตอบว่า มันเป็นข้อมูลที่หายไประหว่างการประมวลเพื่อนำภาพมาต่อด้วยกัน และทีมของเขารับรองว่าการอัพเดตครั้งต่อไปมันจะถูกแก้ไขแน่!”
8.ถ้าหากรัฐบาลรู้เรื่องเกี่ยวกับนิบิรุแล้ว พวกเขาจะไม่เก็บมันเอาไว้เป็นความลับเหรอ ? เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงความตื่นตระหนก เป็นหน้าที่ของรัฐบาลไม่ใช่เหรอที่ต้องดูแลประชาชนให้อยู่ในความสงบ

   รัฐบาลมีหน้าที่หลายๆอย่าง แต่หน้าที่เหล่านั้นไม่ได้รวมไปถึงการทำให้ประชาชนอยู่ในความสงบ ไม่ตื่นตกใจ จากประสบการณ์ของผม รัฐบาลทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามด้วยซ้ำ อย่างเช่นการกล่าวถึงคำขู่ลวงของนักก่อการร้าย หรือว่าเกี่ยวกับอุบัติเหตุในการขับรถในช่วงวันหยุดยาว ที่ไม่ได้มีอันตรายไปกว่าช่วงเวลาปกติเลยด้วยซ้ำ
   นอกเหนือจากนั้น นักสังคมศาสตร์ยังชี้ให้เห็นว่า แนวคิดเกี่ยวกับการตื่นตระหนกของประชาชนนั้น มาจากฮอลิวู้ดซะส่วนมาก ในชณะที่ในโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว ผู้คนมีประวัติที่ดีในการให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันเมื่อตกทุกข์ได้ยาก ผมคิดว่าทุกคนก็ตระหนักว่าการเก็บงำข่าวร้ายไว้นั้นเป็นเรื่องที่ไม่ดีเอาซะเลย เพราะมันจะแย่ลงอีกเมื่อความลับนั้นถูกเปิดเผย และในกรณีของนิบิรุ ความจริงจะปรากฏในเวลาไม่นานนี้แล้ว
   ถึงแม้ว่ารัฐบาลอยากจะปิดข่าวนิบิรุเป็นความลับ ถ้ามันเป็นเรื่องจริงล่ะก็นะ มันจะถูกสำรวจจากนักดาราศาสตร์เป็นพันคน ทั้งมือสมัครเล่นและมืออาชีพ นักดาราศาสตร์เหล่านี้อยู่ทั่วโลก และเขาเหล่านี้ไม่สามารถเก็บความลับได้แม้จะถูกสั่งห้ามก็ตาม คุณไม่สามารถซ่อนดาวเคราะห์ที่กำลังวิ่งเข้าสู่ระบบสุริยะชั้นในได้หรอกนะ!
9. ทำไมปฏิทินมายันถึงกล่าวว่าโลกจะสิ้นในปี 2012? ฉันได้ยินมาว่าพวกเขามีคำทำนายเกี่ยวกับดวงดาวที่แม่นมากนะ  เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเรารู้ดีกว่าพวกเขา?

   ปฏิทินมีไว้เพื่อ ติดตามห้วงของเวลา ไม่ใช่เพื่อทำนายอนาคต นักดาราศาตร์มายันนั้นฉลาด และพวกเขาได้พัฒนาปฏิทินที่ซับซ้อน ปฏิทินโบราณเป็นสิ่งน่าสนใจสำหรับนักโบราณคดี แต่มันไม่สามารถเทียบได้เลยกับความสามารถของเราในทุกวันนี้  ในการรับรู้เวลา หรือความแม่นยำของปฏิทินที่เราใช้   ใจความก็คือ  ไม่ว่าจะปัจจุบันหรืออดีตก็ตาม ปฏิทินไม่สามารถทำนายอนาคตของดาวของเราได้หรือเตือนถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในปีที่เฉพาะเจาะจงอย่างเช่นปี 2012
ผมสังเกจุว่า ปฏิทินบนโต้ะของผม สิ้นสุดลงเร็วกว่านั้นมาก คือวันที่ 31 ธันวาคม 2009 แต่ผมก็ไม่ได้ตีความว่านี่เป็นคำทำนายถึงวันสิ้นโลก มันเป็นเพียงเวลาเริ่มต้นของปีใหม่เท่านั้นเอง

วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2552

Rocket History

เครื่องยนต์ที่ใช้ในจรวด(Rocket)
แบ่งออกได้เป็นสองประเภทหลักๆคือ จรวดเชื้อเพลิงแข็ง และจรวดเชื้อเพลิงเหลว
จรวดเชื้อเพลิงแข็งจะมีประวัติศาสตร์มายาวนานมีมาตั้งแต่ยุดเริ่มแรกของจรวดเลยทีเดียว นั้นก็คือ
พลุจากประเทศจีนที่ใช้ดินปืนนั้นไงครับ ซึ่งจรวดนับตั้งแต่ยุดนั้นมาจนถึงคริศศักราชที่
19
เป็นจรวดเชื้อเพลิงแข็งทั้งหมด


จนปี 1926 ได้มีการทดลองการปล่อยจรวดเชื้อเพลิงเหลวครั้งแรกโดย
โรเบิร์ท เฮช ก็อดดาร์ด (
Robert H. Goddard) โดยใช้อ็อกซิเจนเหลวและน้ำมันเป็นเชื้อเพลิง


ในช่วงเริ่มต้นของจรวดยุคใหม่ที่เริ่มมาพร้อมๆกับสงครามโลกครั้งที่สองกับจรวด ในตระกูล V-2 อาวุธลับของฝ่ายนาซี ที่มีเวิร์นเนอร์ วอน บราว์น (Wernher von Braun) เป็นหัวหน้าทีม ซึ่งใช้เป็นจรวดเชื้อเพลิงเหลวเป็นตัวขับดัน หลังจากสงครามโลกจบลง ฝ่ายนาซีพ่ายแพ้ ทั้งอเมริกา และ รัสเซียต่างก็เข้ามาแย่งชิงข้อมูลเกี่ยวกับอาวุธลับที่ยังไม่เสร็จดีนี้ซึ่งฝ่ายอเมริกันมีข้อมูลมากกว่า และได้หาตัว วอน บราว์นเจอก่อน และนำเขาไปเก็บไว้ในอเมริกาพร้อมๆกับยึดจรวด V-2ที่เสร็จสมบูรณ์ไปด้วย ในขณะที่ฝ่ายรัสเซียพึ่งมารู้ทีหลังว่าตนได้พลาดโอกาสในการครอบครองอาวุธแห่งอนาคตไปแต่โชคก็เข้าข้างรัสเซียในภายหลังเมื่อฝ่ายรัสเซียได้พบโรงเก็บอาวุธลับซึ่งอยู่ใกล้กับบริเวณที่อเมริกายึดจรวดไป


ซึ่งในโรงเก็บอาวุธลับนั้นมีจรวดV-2ที่ยังประกอบไม่เสร็จและชิ้นส่วนที่คาดว่าจะเป็นเวอร์ชั่นต่อไปของ V-2! แต่วิศวกรก็โดนอเมริกาเอาไปเกือบหมด เหลือแต่ช่างเทคนิดและวิศวกรระดับล่างๆเท่านั้น
นี้เป็นจุดเริ่มต้นของการแข่งขันสู่อวกาศที่มีจุดเริ่มต้นคนล่ะอย่าง(ซึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องจรวดแข็ง และ เหลว ใดๆทั้งสิ้น แหะๆๆ) เข้าเรื่องกันต่อเดี้ยวจะยาว


จรวดในตระกูล V-2 ก็ได้พัฒนามาเรื่อยๆ จนถึงจรวด R-7 ซึ่งทางรัสเซียตั้งใจจะพัฒนาขึ้นมาเพื่อเป็นจรวดขีปนาวุธข้ามทวีปโดยมี เซอไจ โคโรเลฟ (Sergei Korolev) เป็นหัวหน้าทีม การทดลองส่งขีปนาวุธประสบผลล้มเหลวติดกันสามครั้ง จนครั้งที่สี่ การส่งประสบผลสำเร็จแต่มีปัญหาตอนกลับสู่ชั้นบรรยากาศเนื่องจากฉนวนห่อหุ้มไม่ดีพอทำให้เกิดความร้อนสูง แต่นั้นก็เพียงพอแล้ว ที่จะส่งดาวเทียมเบื้องต้น ออกสู่อวกาศ ซึ่งก็คือ Sputnik1 (ชื่อเทคนิค PS-1, ภาษารัสเซีย "Простейший Спутник-1", หรือ Elementary Satellite-1) นั้นเองครับ และเป็นจุดเริ่มต้นของการแข่งขันสู่อวกาศครับ เห็นมั้ยครับว่า ภารกิจอวกาศกับภารกิจทางการทหาร แยกกันไม่ออกจริงๆใครสามารถส่งขีปนาวุธข้ามทวีปได้ก็สามารถส่งดาวเทียมได้ครับ


ด้วยข้อเท็จจริงนี้ทำให้จรวดในยุคแรกๆที่ปสู่อวกาศใช้เครื่องยนต์เชื้อเพลิงเหลวเป็นหลักเพราะว่าสามารถควบคุมได้ง่าย มีประสิทธิภาพที่ดี จะเร่งหรือผ่อนเครื่องยนต์ปิดเปิดใหม่เมื่อใดก็ได้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนและมีข้อมูลให้ศึกษามากก็คือ จรวด แซทเทิร์น ไฟว์ (Saturn V) ที่ใช้ในภารกิจสำรวจดวงจันทร์อพอลโล่ ของอเมริกาไงครับ


แซทเทิร์น ไฟว์ (ภายใต้การควบคุมของ เวิร์นเนอร์ วอน บราว์น )ใช้เครื่องยนต์สองแบบ แบบที่หนึ่งคือ เครื่องยนต์ J-2ซึ่งใช้ ไฮโดรเจนเหลวเป็นเชื้อเพลิงเป็นเครื่องยนต์รอง และ แบบที่สองคือ F-1 ซึ่งเป็นเครื่องยนต์หลัก ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า J-2 และใช้เคโรซีนเป็นเชื้อเพลิงโดยมีอ็อกซิเจนเหลวเป็นตัวอ็อกซิไดซ์ แซทเทิร์น ไฟว์ใช้เครื่องยนต์ F-1 ทั้งหมด 5 เครื่องและJ-2 ทั้งหมด 6เครื่องมันเป็นจรวดที่มีแรงขับดันสูงที่สุดที่ประสบความสำเร็จในการส่ง มีจรวดที่มีกำลังส่งสูงกว่านี้เล็กน้อย(แต่ไม่ค่อยเป็นข่าว ตามไสตล์รัสเซีย) ก็คือจรวด อีเนอร์เจีย(Energia) ของรัสเซีย แต่มันไม่ประสบผลสำเร็จในการใช้งาน NASAก็เลยโม้ได้ว่าแซทเทิร์น ไฟว์ ใหญ่ที่สุดได้ไปโดยปริยาย รายละเอียดไม่ขอลงลึกกว่านี้นะครับเดี้ยวจะลงลิงค์ไว้ให้ทีหลั



รูปเปรียบเทียบ
ตัวแทนฝั่งอเมริกา และฝั่งรัสเซีย สไตล์ออกมาต่างกันเห็นๆ ซ้าย แซทเทิร์น ไฟว์ ขวาอีเนอร์เจียครับ







ต่อมา ไอ้เชื้อเพลิงเหลวเนี้ยมันก็มีปัญหาอยู่ครับเอาที่เข้าใจง่ายๆชัดๆเลยก็คือว่า เชื้อเพลิงเหลวมันเก็บไว้ในถังนานไม่ได้เชื้อเพลิงจะระเหยหมด แล้วถังมันก็ไม่ใช่เล็กๆ ถ้าจะเลื่อนหรือยกเลิกภารกิจ
ก็ต้องเสียเวลามากๆเลยทีเดียว ในการถ่ายเชื้อเพลิงเข้าออกฝั่งทหารเค้าก็ไม่พอใจสิครับ เค้าเลยพัฒนาจรวดเชื้อเพลิงแข็งขึ้นมาครับ


จรวดเชื้อเพลิงแข็ง(บางทีเรียกมอเตอร์ก็ได้ครับ) สามารถให้แรงขับดันได้ดีกว่าเครื่องยนต์เชื้อเพลิงเหลวเชื้อเพลิงเก็บได้นาน ประกอบเสร็จก็ใช้ได้ทันที ไม่ต้องเตรียมนานขีปนาวุธข้ามทวีปในปัจจุบันนี้ก็ใช้จรวดเชื้อเพลิงเหลวนี้แหละครับจุดชนวนปุ้ปยิงได้เลย แต่ข้อเสียก็มี ก็คือมันจุดแล้วจุดเลยครับ
เมื่อเริ่มเผาไหม้แล้วเนี้ย มันจะไหม้จนหมด จะไปสั่งหยุดมันไม่ได้ง่ายๆจะปรับความเร็วก็ยาก การใช้งานจึงแบ่งไอ้จรวดเชื้อเพลิงแข็งเนี้ยเป็นชั้นๆออกจากกัน จะได้พอควบคุมการเผาไหม้ของมันได้บ้างด้วยความที่มันมีความเชื่อใจได้ในระดับสูง จึงถูกนิยมใช้มันเป็น ตัวขับดันจรวด(
Rocket Booster) ในขั้นแรกสุดครับ ตัวอย่างที่ยกมาให้ดูก็คือ กระสวยอวกาศเจ้าเก่านี้เอง (เคยเขียนบทความไปทีนึงแล้ว ลองหาคำว่า
Endeavour cycle
ดูนะครับ) 



ท่อสีขาวที่พ่นไฟออกมาเยอะๆนั้นแหละครับจรวดขับดันที่เป็นเครื่องยนต์เชื้อเพลิงแข็งที่เราพูดถึง
มันมีแรงขับดันมากกว่าเครื่องยนต์ที่ใหญ่ที่สุดอย่างเครื่องยนต์เชื้อเพลิงเหลว 
F-1 (คุ้นๆมั้ยครับ จาก แซทเทิร์น ไฟว์นั้นเอง) ถึง 1.8เท่าเลยทีเดียว


จรวดขับดันกระสวยอวกาศ(Space Shuttle Solid Rocket Boosters (SRBs)) เป็นเครื่องยนต์เชื้อเพลิงแข็งที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยบินมา เช่นเดียวกันกับเครื่องยนต์หลักของกระสวยอวกาศ F-1 ก็เป็นเครื่องยนต์เชื้อเพลิงเหลวที่ใหญ่ที่สุดเช่นกัน (จะใหญ่อะไรกันนักกันหนาเนี้ย) ซึ่งกระสวยอวกาศแต่ละเที่ยวจะประกอบด้วยเครื่องยนต์ F-1 สามเครื่อง และจรวดขับดัน SRBs สองแท่งซึ่งจรวดขับดันจะถูกปลดออกกลางอากาศ 75วินาทีหลังจากบินสู่อากาศแล้ว และเครื่องยนต์เชื้อเพลิงเหลวก็จะทำงานต่อไปจนถึงจุดหมายที่ต้องการในวงโคจร เพราะเครื่องยนต์เชื้อเพลิงเหลวสามารถควบคุมได้ง่าย เหมาะแก่การปรับแก้ความเร็วและทิศทาง ซึ่งต้องมีการปรับแก้เป็นระยะๆเป็นปกติ  รูปข้างล่างคือ Araine 5 ขององค์การอวกาศยุโรปครับ ซึ่งกำลังประสบความสำเร็จอย่างมากเลยทีเดียว จะเห็นได้ว่ามีส่วนประกอบค้ลายๆกระสวยอวกาศเลย คือมี Solid rocket motors เป็นตัว Booster และมีเครื่องยนต์เชื้อเพลิงเหลวอยู่ตรงกลาง



เอาล่ะครับ ได้พูดถึงการใช้งานของเครื่องยนต์ทั้งสองแบบทั้งอดีตและปัจจุบันไปแล้ว ต่อไปจะเป็นรูปแบบของอนาคตกันบ้างล่ะครับ


เนื่องจาก NASA มีแผนการปลดระวางกระสวยอวกาศที่เริ่มจะแก่แล้ว ภายในปี 2010ก็ได้มีการวางแผนออกแบบจรวดแบบใหม่ขึ้นมาใช้งานแทน ซึ่งคราวนี้ก็จะแหวกแนวออกไป ต่างจากกระสวยอวกาศที่ใช้อยู่เลยล่ะครับ ซึ่งชื่อของจรวดชุดใหม่นี้ก็คือ Ares I และ Ares V ครับ

เริ่มกันที่ Ares I ก่อนแล้วกันครับ Ares เป็นชื่อของเทพเจ้ากรีก ชื่อว่า Mars (ดาวอังคาร) ครับ  Ares I เนี้ยจะเป็นยานส่งมนุษย์อวกาศซึ่งจะอยู่ในแคปซูล Orion ที่ติดตั้งไว้บนหัวครับ ครับ ซึ่งมีแผนว่าจะใช้มันเพื่อไปสู่ สถานีอวกาศนานาชาติ กลับไปยังดวงจันทร์อีกครั้ง และ อาจจะไปไกลถึงดาวอังคารเลยทีเดียว ด้านล่างเป็น รูปของ Orion ครับ

รูปของ Orion ตอนอยู่ในอวกาศ การแผงโซล่าเซลรูปวงกลม


ต่อไปคือรูปของ Ares I ครับ ใช้ เครื่องยนต์เชื้อเพลิงแข็ง SRBs เป็นจรวดขับดัน แบบเดียวกับ กระสวยอวกาศ หนึ่งอัน แล้วก็เครื่องยนต์ J-2x ซึ่งเป็นเครื่องยนต์เชื้อเพลิงเหลว (J-2เป็นเครื่องยนต์รองของ SaturnV ที่พูดถึงในไปแล้วครับ J-2x เป็นเวอร์ชั่นปรับปรุง) อีกหนึ่งเครื่อง เป็นเครื่องยนต์หลัก ซึ่งจะเห็นว่ามันใช้เครื่องยนต์น้อยกว่ากระสวยอวกาศเยอะเลย! เป็นเพราะว่ากระสวยอวกาศที่ใช้อยู่ปัจจุบันนั้นแม้จะต้องการส่งแค่คนไปก็ต้องขนกันไปทั้งลำใหญ่ๆเลยทีเดียวในขณะที่จรวดในอนาคตนี้จะส่งคน กับของแยกกันครับ ซึ่งในส่วนของ Ares I นั้นมีส่วนดีดตัวในกรณีที่มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นด้วยครับ
จากรูปจะเห็นส่วนที่คล้ายๆจรวดเล็กๆที่ต่ออยู่เหนือแคปซูล
Orion อีกทีนั้นแหละครับ ส่วนดีดตัว


ทีนี้สำหรับสัมภาระขนาดใหญ่ เช่นยานลงจอดบนดวงจันทร์ หรือ กล้องโทรทัศน์รุ่นใหม่ในอนาคตที่ใหญ่กว่า Hubble (ซึ่งกำลังแก่ลงเช่นกัน) ก็ต้องยกให้พี่ใหญ่อย่าง Ares V ซึ่งมีแรงขับเยอะกว่าทั้ง Saturn V รุ่นพี่ของมัน และ Energia ของฝั่งรัสเซีย ซึ่งNASAคุยว่า มันสามารถส่ง Orion ไปยังดวงจันทร์ได้ภายในช็อตเดียวเลย ไม่ต้องโคจรรอบโลกเพื่อเพิ่มความเร็วเหมือนที่แล้วมา โดย Ares V เป็นจรวด2ตอน ซึ่งจะใช้ SRBs 2อัน เป็นตัวขับดันเช่นเดียวกับกระสวยอวกาศ แต่เป็น SRBsที่มีขนาดใหญ่กว่าคือมีทั้งหมด ห้าชั้นครึ่ง ในขณะที่ SRBsของกระสวยอวกาศมี 4ชั้นจรวดชั้นแรกจะมี เครื่องยนต์ RS-68B 5-6เครื่อง ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ที่พัฒนามาจากแบบที่ใช้ในกระสวยอวกาศ(F-1 หรือ SSME, Space shuttle main engine)ให้ม๊ขนาดใหญ่กว่า และถูกกว่า และเครื่องยนต์ชั้นที่สองก็จะเป็น เครื่องยนต์ J-2x เครื่องเดียว


เครื่องยนต์  RS-68 ในขณะที่ทำการทดสอบ  Ares V จะมีไอ้นี้อยู่ 5-6เครื่องแหนะ


วันนี้ผมขอจบไว้เท่านี้ครับข้อมูลทั้งหมดในการทำบทความนี้ได้มาจาก สารานุกรม ออนไลน์
Wikipedia
ครับถ้าท่านใดสนใจอยากได้ความรู้เพิ่มเติมก็ไปหาอ่านเพิ่มได้เลยครับ.

แ ถมครับ Ullage solid motor : Ullage motor เป็นมอเตอร์(เครื่องยนต์เชื้อเพลิงแข็ง) ขนาดเล็กอันนึงที่จะช่วยทำให้เชื้อเพลิงเหลวเข้าที่เมื่อมีการจุดะเบิดขึ้น ก่อนที่จะติดเครื่องยนต์เชื้อเพลิงเหลว เพื่อให้แน่ใจว่าน้ำมันเชื้อเพลิงจะอยู่ในที่ๆเหมาะสมต่อการทำงานของปั้ม และมอเตอร์นี้ยังช่วยในการแยกตัวของจรวดแต่ล่ะส่วนอีกด้วย  ข้างล่างเป็นรูปของ Ullage motor ที่จะใช้ใน Ares I ครับ